กลับสู่ระบบภาษี: คู่มือปฏิบัติสำหรับธุรกิจที่ยังไม่จดทะเบียนนิติบุคคล
- Thanuwat Khumkainam
- 27 มี.ค.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 4 เม.ย.

การดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลและไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงในด้านการถูกตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากร นอกจากนี้ อาจมีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจในระยะยาว บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำแนวทางแก้ไขและการปรับปรุงกระบวนการบริหารภาษีให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
ทำความเข้าใจกฎหมายภาษีและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
ศึกษาข้อกำหนดทางภาษี ผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เกี่ยวข้องกับรายได้จากการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยื่นแบบแสดงรายการภาษี (เช่น ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91) ซึ่งเป็นข้อบังคับที่กรมสรรพากรกำหนดให้ปฏิบัติตาม
รู้จักกับการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย สำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดา กรมสรรพากรอนุญาตให้เลือกใช้วิธีการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายในการคำนวณภาษี เช่น ในธุรกิจค้าขาย อัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายอาจอยู่ที่ประมาณ 60% ของรายได้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยลดภาระในการจัดทำเอกสารหลักฐานค่าใช้จ่ายจริง แต่ผู้ประกอบการควรใช้ให้ถูกต้องและยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กำหนด (rd.go.th)
จัดทำระบบบัญชีและการเก็บรักษาหลักฐานทางการเงิน
การจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบ ควรเริ่มต้นบันทึกรายรับรายจ่ายของธุรกิจอย่างละเอียดและต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่ารายการทางการเงินทุกอย่างเป็นไปตามความเป็นจริงและสอดคล้องกับรายงานภาษี
เก็บรักษาหลักฐานสำคัญ:ทั้งเอกสารการรับชำระเงิน ใบกำกับภาษี และใบเสร็จรับเงิน ควรถูกเก็บรักษาไว้อย่างเป็นระเบียบเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีและตรวจสอบในอนาคต
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
ขอคำปรึกษาจากนักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษี เนื่องจากการยื่นภาษีและการคำนวณภาษีมีความซับซ้อน ผู้ประกอบการควรเข้าพบนักบัญชีหรือที่ปรึกษาด้านภาษีที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้คำแนะนำและวางแผนการบริหารภาษีอย่างเหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจ
วางแผนภาษีในระยะยาว:ที่ปรึกษาภาษีจะช่วยวางแผนการยื่นภาษี รวมถึงแนวทางการใช้ประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย ซึ่งสามารถลดภาระทางภาษีและป้องกันความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบในภายหลัง
พิจารณาการปฏิบัติการยื่นภาษีย้อนหลัง (Voluntary Disclosure)
เปิดรับการแก้ไขสถานการณ์ หากพบว่ามีการละเลยการยื่นภาษีในอดีต ผู้ประกอบการควรพิจารณาปรึกษากับกรมสรรพากรเพื่อแจ้งความผิดพลาดและหาทางแก้ไขผ่านกระบวนการยื่นภาษีย้อนหลัง (Voluntary Disclosure) ซึ่งในบางกรณีอาจมีการปรับลดค่าปรับหรือดอกเบี้ยเพื่อช่วยบรรเทาภาระ
พิจารณาจดทะเบียนนิติบุคคลในอนาคต
เพิ่มความน่าเชื่อถือและระบบการบริหารภาษี:หากธุรกิจมีการเติบโตและมีรายได้สูง การจดทะเบียนนิติบุคคลจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ และช่วยให้มีระบบบริหารภาษีที่เป็นมาตรฐานและโปร่งใสมากขึ้น
ลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบ:การมีสถานะทางกฎหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้การตรวจสอบจากกรมสรรพากรเป็นไปในรูปแบบที่มีระบบและสามารถติดตามได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดหรือการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังในอนาคต
สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลและไม่เคยยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเริ่มต้นแก้ไขสถานการณ์และปรับปรุงกระบวนการบริหารภาษีเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการทำความเข้าใจกฎหมายภาษี การจัดทำบัญชีและเก็บรักษาหลักฐานอย่างเป็นระบบ รวมถึงการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบทางการเงินในระยะยาว นอกจากนี้ การพิจารณาปรับเปลี่ยนสถานะทางธุรกิจโดยการจดทะเบียนนิติบุคคลจะเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือและมีระบบการบริหารจัดการที่ดีขึ้นในอนาคต การดำเนินการตามแนวทางที่แนะนำนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถกลับเข้าสู่ระบบภาษีได้อย่างถูกต้องและลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบหรือเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรอย่างมีประสิทธิภาพ.
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและกำลังลังเลว่าควรจดทะเบียนบริษัทหรือไม่ หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดำเนินการให้ถูกต้องและรวดเร็ว iACC Professional พร้อมให้บริการด้วยทีมงานมืออาชีพ ที่จะช่วยให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องง่าย ประหยัดเวลาในการเตรียมเอกสาร ให้คุณมีเวลามุ่งพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่
สอบถามค่าบริการและปรึกษาฟรี!