เมื่อถึงเวลายื่นภาษี หลายคนอาจสงสัยว่าเงินรายได้ประเภทใดบ้างที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายไทย ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "เงินได้พึงประเมิน" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการคำนวณภาษีส่วนบุคคลตามที่กรมสรรพากรกำหนด
เงินได้พึงประเมินคืออะไร
"เงินได้พึงประเมิน" หมายถึง รายได้ทุกประเภทที่ได้รับหรือพึงได้รับตามปีภาษี และเป็นรายได้ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษี ซึ่งกรมสรรพากรได้ระบุไว้ชัดเจนถึงประเภทของเงินรายได้เหล่านี้ในประมวลรัษฎากร ซึ่งได้กำหนดไว้ทั้งหมด 8 ประเภท ได้แก่
เงินได้ประเภทที่ 1: รายได้จากการจ้างงาน
รวมถึงเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง บำนาญ รวมถึงค่าเช่าบ้านที่นายจ้างให้ และมูลค่าของประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้รับจากการจ้างงาน เช่น การได้รับประทานอาหารที่นายจ้างจัดให้
เงินได้ประเภทที่ 2: รายได้จากการทำงานอื่น ๆ
เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า โบนัส เบี้ยประชุม รวมถึงเงินที่ได้รับจากการทำงานเป็นที่ปรึกษาหรือในตำแหน่งงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานประจำหรือชั่วคราว
เงินได้ประเภทที่ 3: รายได้จากสิทธิหรือเงินรายปี
เช่น ค่าแห่งลิขสิทธิ์ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ เงินปีที่ได้รับจากพินัยกรรม หรือนิติกรรมอื่น ๆ
เงินได้ประเภทที่ 4: รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผล
รวมถึงดอกเบี้ยจากเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ เงินปันผลจากการลงทุน เงินโบนัสที่จ่ายแก่ผู้ถือหุ้น และผลประโยชน์อื่น ๆ ที่เกิดจากการถือหุ้นหรือพันธบัตร
เงินได้ประเภทที่ 5: รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
รายได้จากการปล่อยเช่าทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ รวมถึงผลประโยชน์ที่ได้จากการผิดสัญญาเช่าซื้อหรือการขายเงินผ่อน
เงินได้ประเภทที่ 6: รายได้จากวิชาชีพอิสระ
เช่น วิชากฎหมาย การแพทย์ วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และการบัญชี เป็นต้น
เงินได้ประเภทที่ 7: รายได้จากการรับเหมา
เช่น การรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระหรืออุปกรณ์สำคัญในงานนั้น ๆ
เงินได้ประเภทที่ 8: รายได้จากการทำธุรกิจ
รวมถึงรายได้จากการประกอบธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง และการขายอสังหาริมทรัพย์
กรณีศึกษาจากประสบการณ์จริง
จากประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาด้านภาษีแก่ลูกค้าหลายราย เรามักพบกรณีที่เจ้าของธุรกิจบางท่านยังไม่เข้าใจความแตกต่างของรายได้แต่ละประเภทที่ต้องเสียภาษีอย่างละเอียด ส่งผลให้เกิดปัญหาการยื่นภาษีที่ไม่ถูกต้อง และต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมหรือถูกปรับในภายหลัง
ตัวอย่างเช่น ลูกค้ารายหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการตลาดโดยไม่ได้แจ้งรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ได้รับจากการจัดสัมมนา ซึ่งถือเป็น "เงินได้ประเภทที่ 2: รายได้จากการทำงานอื่น ๆ" ผลที่ตามมาคือเขาถูกปรับภาษีจากรายได้ส่วนนี้ เพราะไม่ได้รายงานให้ถูกต้องตามที่กรมสรรพากรกำหนด
คำแนะนำสำหรับสถานการณ์ต่าง ๆ
สถานการณ์ที่ 1: หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและมีการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน ควรตรวจสอบว่าเงินที่จ่ายให้พนักงานนั้นสามารถหักลดหย่อนภาษีได้หรือไม่ เช่น เบี้ยเลี้ยง ค่ารักษาพยาบาล หรือโบนัสปีใหม่ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการคำนวณให้ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเกินจำเป็น
สถานการณ์ที่ 2: หากคุณเป็นนักธุรกิจที่มีการลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรและได้รับเงินปันผล ควรตรวจสอบว่าเงินปันผลเหล่านี้จะต้องถูกนำมาคำนวณภาษีและมีการยื่นภาษีในประเภทใด รวมถึงสิทธิ์ลดหย่อนที่สามารถใช้ได้
การคำนวณภาษีแต่ละประเภท
การคำนวณภาษีแต่ละประเภทนั้นมีความซับซ้อนและแตกต่างกันออกไปตามรายได้ประเภทที่ได้รับ ตัวอย่างเช่น
เงินได้ประเภทที่ 1: รายได้จากการจ้างงาน
เงินเดือนหรือค่าจ้าง: จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยนายจ้าง ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยพิจารณาจากจำนวนเงินได้และค่าลดหย่อนต่างๆ เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนบุตร เป็นต้น
รายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน: เช่น โบนัส ค่าตอบแทนพิเศษ ค่าล่วงเวลา ก็จะถูกนำมารวมคำนวณภาษีด้วย
เงินได้ประเภทที่ 4: รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผล
ดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยเงินฝาก: จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยสถาบันการเงิน โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทของบัญชีและระยะเวลาการฝาก
ดอกเบี้ยพันธบัตร: จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยผู้ออกพันธบัตร
เงินปันผล
เงินปันผลจากหุ้นสามัญ: จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยบริษัทจ่ายปันผล โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทของบริษัท
เงินปันผลจากกองทุนรวม: จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
นอกจากนี้ ยังมีเงินได้ประเภทอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาในการคำนวณภาษี เช่น
เงินได้จากการประกอบธุรกิจ: รายได้ที่เกิดจากการประกอบกิจการค้า ห้างหุ้นส่วน หรือบริษัท
เงินได้จากการขายทรัพย์สิน: รายได้ที่เกิดจากการขายอสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือหลักทรัพย์
เงินได้จากการให้เช่า: รายได้ที่เกิดจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่นๆ
เงินได้จากการรับจ้างทำของ: รายได้ที่เกิดจากการรับจ้างทำของชิ้น หรือให้บริการ
การคำนวณภาษีแต่ละประเภทจะมีรายละเอียดและเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป ผู้ที่มีรายได้หลายประเภท ควรนำรายได้ทั้งหมดมารวมกันคำนวณภาษี และสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการหารายได้มาหักลดหย่อนได้ตามกฎหมายกำหนด
การคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน
เมื่อผู้มีเงินได้ทราบถึงประเภทของเงินได้พึงประเมินแล้ว จำเป็นต้องนำมาคำนวณภาษีตามอัตราภาษีที่กำหนด ซึ่งแต่ละประเภทของรายได้อาจมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ยังมีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่ผู้มีเงินได้สามารถนำมาลดภาระภาษีได้ตามกฎหมาย
การจัดเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นภาษี
การเตรียมเอกสารที่จำเป็นสำหรับการยื่นภาษีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เช่น
ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย: จากนายจ้างหรือองค์กรที่จ่ายเงินให้กับคุณ
ใบเสร็จรับเงิน: สำหรับการซื้อสิ่งของที่สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ เช่น ค่ารักษาพยาบาล
เอกสารการลงทุน: เช่น หนังสือรับรองการถือหุ้นหรือพันธบัตร
คำแนะนำในการยื่นภาษีและตรวจสอบเอกสาร
การยื่นภาษีต้องทำให้ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเกินจำนวนหรือถูกปรับ หากคุณไม่มั่นใจในการคำนวณหรือจัดเตรียมเอกสาร ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อควรระวังในการยื่นภาษี
การยื่นภาษีที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมหรือมีค่าปรับ ดังนั้น ควรตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนและเตรียมเอกสารที่จำเป็นให้ครบถ้วน หากมีความไม่แน่ใจเกี่ยวกับประเภทเงินได้พึงประเมิน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการยื่นภาษี
สรุป
"เงินได้พึงประเมิน" เป็นปัจจัยสำคัญในการคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา ผู้มีเงินได้ควรทราบถึงประเภทของรายได้ที่ต้องเสียภาษี และดำเนินการยื่นภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย หากคุณต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของกรมสรรพากร
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจหรือบุคคลธรรมดาที่ต้องการคำแนะนำด้านภาษีและบัญชีที่ถูกต้องและครบถ้วน iACC Professional ยินดีให้บริการด้านบัญชี ภาษี และการตรวจสอบบัญชี เราพร้อมช่วยคุณจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ปรึกษาเราได้ที่ www.iaccprofessional.com หรือโทร 086-345-0265